Welcome
Here you can
enter your
own text
Second title
The right image =>
As well as the background
can be changed as well
Third title
Here you can
enter information
for your users
as well

ท้องผูก ขี้แข็ง อุจจาระไม่ออก เกิดจากอะไร พร้อมบอกวิธีรักษาท้องผูกอย่างได้ผล

อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก และเข้าใจกันดี รวมถึงเพื่อน ๆ หลายคนยังอาจจะเคยเกิดอาการนี้ขึ้นกับตัวเองด้วยก็ได้ ซึ่งท้องผูกก็คือ การถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ หรือไม่ได้ถ่ายเป็นเวลานาน ถ่ายยังไงก็ถ่ายไม่ออก ต่อให้ความถี่ของการถ่ายอุจจาระของคนเราจะไม่เท่ากัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เพื่อน ๆ ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ นั่นแสดงว่าท้องผูกได้มาเยือนคุณแล้ว

วิธีล้างลำไส้
นอกจากนี้อาการท้องผูกนั้นยังสังเกตได้จากการที่ลักษณะของอุจจาระนั้นแห้ง แข็ง และต้องใช้แรงเบ่งมาก บางครั้งอาจเลวร้ายจนถึงต้องใช้มือช่วยล้วงอุจจาระออกมาเลยก็ได้

โดยอาการท้องผูกนี้พบได้บ่อยมากเลยนะครับ ไม่ใช่เป็นอาการที่นาน ๆ เจอทีหรือน่าตกใจแต่อย่างใด ซึ่งประชากรกว่า 12% ของโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีอาการท้องผูกกันทั้งนั้น เป็นได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ แต่มักจะพบได้บ่อยในเด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากเด็กกล้ามเนื้อการขับถ่ายยังเติบโตไม่เต็มที่ ส่วนผู้ใหญ่นั้นกล้ามเนื้อการขับถ่ายเสื่อมสภาพไปตามอายุนั่นเอง อีกทั้งยังพบอาการท้องผูกนี้ได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งอาจเป็นเพราะฮอร์โมนเพศที่ต่างกัน

รู้ได้ยังไงว่าตัวเองมี อาการท้องผูก
การสังเกตอาการท้องผูกนั้นทำได้ง่าย ๆ โดยดูจากสิ่งเหล่านี้
    * ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
    * อุจจาระเป็นก้อนแข็ง แห้ง หรือเป็นเม็ดเล็ก ๆ
    * รู้สึกเหมือนยังถ่ายอุจจาระไม่สุด ถ่ายไม่ออก ถ่ายออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วง บางคนอาจมีอาการเจ็บเมื่อถ่ายอุจจาระด้วย
    * ท้องอืด ปวดท้อง
   

จากอาการท้องผูกทั่วไป อาจกลายเป็นท้องผูกเรื้อรังที่จะทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตยิ่งกว่าเดิมได้

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้ตัวว่าตัวเองมีอาการท้องผูกเกิดขึ้น หรืออุจจาระไม่ปกติ รวมทั้งมีอาการอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลง หรืออุจจาระเป็นเลือด ให้พบแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยให้เร็วที่สุด

สาเหตุของอาการท้องผูก ท้องผูกเกิดจากอะไรกันแน่

เป็นคำถามคาใจใครหลาย ๆ คนมากเลยนะครับสำหรับข้อนี้ เพราะบางทีเราอาจทำอะไรหรือดำเนินชีวิตไปปกติ แต่อาการท้องผูกก็ดันมาถามหาเราอยู่ดี ซึ่งมันมาจากอะไรกันแน่นะ… ท้องผูกเป็นอาการที่เกิดเมื่อลำไส้บีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าในระหว่างการย่อยอาหาร จึงทำให้กำจัดอุจจาระออกจากระบบทางเดินอาหารไม่ได้ และเกิดการตกค้างในลำไส้ใหญ่นานจนมีการดูดน้ำในอุจจาระกลับ ทำให้อุจจาระแห้ง แข็ง และใหญ่ขึ้น ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยอาการท้องผูกนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังนี้

    การใช้ยา
    การทานยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาระงับอาการทางจิต ยาแก้อาการชัก หรืออาหารเสริมแคลเซียม และธาตุเหล็ก ยาระงับปวด และยาขับปัสสาวะ
    สภาวะทางร่างกาย
    ฮอร์โมนจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเกิดความสมดุล ดังนั้นสภาวะบางอย่างที่มีผลต่อฮอร์โมนจึงอาจส่งผลกระทบ ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน เช่น โรคเบาหวาน การตั้งครรภ์ ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และโรคลำไส้แปรปรวน
    ความผิดปกติจากกล้ามเนื้อ
    โรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อสามารถส่งผลต่อการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้ ทำให้เกิดการตกค้างของอุจจาระในระบบทางเดินอาหาร และนำไปสู่อาการท้องผูก เช่น เส้นประสาทถูกทำลายจากโรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน เส้นประสาทไขสันหลังบาดเจ็บ หรือโรคหลอดเลือดในสมอง
    ภาวะลำไส้อุดตัน
    สภาวะบางอย่างอาจทำให้เกิดอาการอุดตันภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้ลำบาก และยังคงเหลือค้างอยู่ภายใน เช่น แผลปริขอบทวารหนัก ลำไส้อุดตัน หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่

แก้อาการท้องผูกง่าย ๆ เพียงวันละ 1 แก้ว ด้วยการดีท็อกซ์ลำไส้จาก Renatar Fiber

พฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออาการท้องผูก
นอกจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้นแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกตามมาได้อย่างไม่คาดคิด เช่น

    * การอั้นอุจจาระ
    * ทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
    * เคลื่อนไหวร่างกายน้อย
    * มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือน้อยเกินไป
    * ดื่มน้ำน้อย ร่างกายขาดน้ำ
    * ภาวะเครียด หรือกดดัน
    * ปัญหาทางด้านจิตใจ
    * อยู่ในวัยสูงอายุ

รักษาอาการท้องผูกได้ยังไงบ้าง
อาการท้องผูกถึงแม้จะกวนใจผู้ป่วยอย่างมาก แต่ก็สามารถรักษาได้หลากหลายวิธีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่ง่ายดายที่สุด ก็คือ การปรับพฤติกรรมนั่นเอง การปรับพฤติกรรมทั้งในด้านของการใช้ชีวิต และด้านการรับประทานอาหาร จะช่วยให้อาการท้องผูกบรรเทาลง และส่งผลให้อาการดีขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งยารักษา ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถรักษาอาการท้องผูกด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ดังนี้

    * รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง : อย่างน้อย ๆ 18-30 กรัมต่อวัน ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้สด ธัญพืช หรือรำข้าวสาลี ซึ่งทั้งหมดนี้มีฤทธิ์ช่วยให้อุจจาระมีความอ่อนตัวมากขึ้น ส่งผลให้อาการท้องผูกบรรเทา และขับถ่ายง่ายตามมา
   
     * ดื่มน้ำมากๆ : การดื่มน้ำมากจะทำให้ร่างกายห่างไกลจากภาวะขาดน้ำ และไม่ทำให้อุจจาระแข็ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
   
    * ขับถ่ายให้เป็นเวลา : ไม่ควรอั้นอุจจาระเป็นเวลานาน หรือรีบร้อนในการขับถ่าย ควรให้เวลากับตัวเอง และถ่ายจนกว่าจะรู้สึกว่าอุจจาระออกมาจนหมดแล้วนั่นเอง
   
    * ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน : เป็นการฝึกควบคุมการทำงานและผ่อนคลายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งจะมีการสอดอุปกรณ์เข้าทางทวารหนัก และให้ทำการขมิบก้นหรือคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยบันทึกการทำงานของกล้ามเนื้อ และช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาเมื่อการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมไม่ได้ผล โดยจะมีตั้งแต่ ยาช่วยหล่อลื่นอุจจาระ ทำให้ลำไส้ลื่นและอุจจาระเคลื่อนตัวได้ง่าย ยาช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้นและสามารถเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่าย รวมถึงยาเหน็บและยาสวน เพื่อให้อุจจาระอ่อนนิ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายอีกเช่นกัน

อาการท้องผูก ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา
ปกติแล้วอาการท้องผูกจะเกิดขึ้นและหายไป โดยไม่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา แต่ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อขับถ่าย ซึ่งถ้ามีการท้องผูกบ่อย ๆ ก็อาจทำให้อุจจาระตกค้างในลำไส้ ส่งผลให้ถ่ายออกมาได้ลำบาก และอุจจาระไปเสียดสีกับผนังลำไส้จนเกิดแผล และถ่ายเป็นเลือด บางรายอาจเกิดอาการริดสีดวงทวารตามมาจากการที่ต้องใช้แรงเบ่งในการขับอุจจาระนั่นเอง

ป้องกันอาการท้องผูกง่ายด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้
หลังจากเรียนรู้แล้วว่าอาการท้องผูกนั้นเกิดจากสาเหตุใด และรักษาได้ยังไงบ้าง ทีนี้ก็ถึงคราวป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องผูกขึ้นกับเราในอนาคต โดยวิธีการนั้นก็สามารถทำได้หลายขั้นตอนด้วยกัน เช่น

    * กินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็นผัก หรือผลไม้สด
    * ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย ๆ ให้ได้วันละ 6-8 แก้ว
    * เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และออกกำลังกายเป็นประจำ
    * ผ่อนคลายความเครียด ลดความกังวล และทำจิตใจให้เบิกบาน
    * ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา เริ่มตั้งแต่ยังเด็ก และขับถ่ายโดยไม่รีบเร่ง
    * ไม่กลั้นอุจจาระ เมื่อรู้สึกปวดท้องให้เข้าห้องน้ำเสมอ ห้ามอั้น
    * ดื่มเรนาต้าไฟเบอร์ ดีท็อกซ์ลำไส้ที่ดีที่สุด วันละ 1 แก้ว

ท้องผูกมากแค่ไหน ถึงควรพบแพทย์
สำหรับใครที่มีอาการท้องผูก ไม่ควรซื้อยาแก้ท้องผูกมาทานเอง ควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรก่อนซื้อยาทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่มีอาการ และควรเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการดังต่อไปนี้

    * ใช้ยาแก้ท้องผูก 5-7 วัน แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
    * เกิดอาการท้องผูกเรื้อรังนานเกินกว่า 1 สัปดาห์
    * ท้องผูกโดยไม่มีอาการ หรือหาสาเหตุไม่ได้
    * มีอาการท้องผูก สลับไปมากับอาการท้องเสีย
    * อุจจาระมีลักษณะเล็ก แบน เหมือนริบบิ้น
    * มีเลือดออกหลังจากอุจจาระ

อาการต่าง ๆ เหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่าเราอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร เกิดก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรืออาจเป็นมะเร็งลำไส้ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรพบแพทย์โดยด่วน
 
This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free